Behind the Icon | Air Max 97 “Silver Bullet” กระสุนสีเงินเเห่ง Nike กับดีไซน์จากจักรยานภูเขา ที่ไม่มีใครพูดถึง

Behind the Icon | Air Max 97 “Silver Bullet” กระสุนสีเงินเเห่ง Nike กับดีไซน์จากจักรยานภูเขา ที่ไม่มีใครพูดถึง

 
  คำว่า “Iconic” ในวงการ Sneaker อาจจะเป็นคำโปรยที่พบเห็นได้บ่อยครั้ง บ้างก็ว่าต่อๆ กันมา บ้างก็เป็นเพียงแคมเปญการตลาด แต่หากจะมีรองเท้าสักหนึ่งคู่ที่ควรค่ากับการเป็น​ “Icon” อย่างไร้ข้อกังขา
ก็คงจะหนีไม่พ้น Air Max 97 วันนี้ Carnival : Behind the Icon จะพาทุกคนไปสำรวจเรื่องราวการพุ่งทะยานของโมเดลในตำนานนี้กัน
 
 
 
 Air Max 97 คือโมเดลที่สืบทอดเจตนารมย์ของไลน์รองเท้าที่ยิ่งใหญ่อย่าง “Air Max” ที่ริเริ่มโดย Tinker Hatfield ดีไซนเนอร์อัจฉริยะผู้พลิกประวัติศาสตร์วงการรองเท้าตั้งแต่การเปิดตัวของ Air Max 1 ในปี 1987 รองเท้าที่เผยโฉมให้ชาวโลกได้เห็นเทคโนโลยี Air Unit เป็นครั้งแรก โดย Hatfield ได้แรงบันดาลใจมาจาก การไปเที่ยวปารีสแล้วได้เห็น Pompidou Center อาคารที่นำโครงสร้างที่ถูกซ่อนไว้ออกมาใชว์ให้เห็นนอกตัวอาคารทั้งหมด ในตอนนั้นเองไม่มีใครเชื่อว่าการโชว์วัสดุภายในรองเท้านี้จะสามารถวางขายได้สำเร็จ แต่ Hatfield ยืนยันอย่างหนักแน่นกับเพื่อนร่วมงาน ถึงขั้นถกเถียงกับแผนกการตลาดของ Nike อย่างยาวนาน จนท้ายสุดแล้วด้วยความเชื่อมั่นอันแรงกล้าของเขาก็ทำให้เทคโนโลยี Air พัฒนาต่ออย่างก้าวกระโดด และเปิดเผยมากขึ้นกว่าเดิมทุกปี
.
Air Max 1กลายเป็นโมเดลคลาสสิคตลอดกาลและทำให้วันที่ 26 มีนาคม กลายเป็นวัน “Air Max Day” ต่อมาในปี 1995 เราก็ได้ยลโฉม Air Max 95 ดีไซน์โดย Sergio Lozano ผู้พลิกโฉมให้รองเท้าวิ่งกลับมานิยมอีกครั้ง ในขณะที่ยุค 90 เต็มไปด้วยกระแสรองเท้าบาสเกตบอล โดย Lozano ได้ยกระดับในด้านดีไซน์และฟังค์ชั่น ด้วยธรรมชาติของฝนและกายวิภาคศาสตร์
.
แรงบันดาลใจของ Air Max 95 มาจากฝนที่ตกหนักเป็นปกติที่สำนักงานใหญ่ Nike ที่เมือง Beaverton ในรัฐ Oregon ทำให้เขาจินตนาการว่าหากฝนที่ตกเป็นกรดก็คงทำให้เกิดการกัดกร่อนที่เผยดีไซน์ที่น่าสนใจไม่น้อย ผลปรากฏเป็นดีไซน์ที่เผยให้เห็น Layer คล้ายกับชั้นหินที่ถูกผ่า ต่อมาถูกพัฒนาให้มี Element ของกายวิภาคมนุษย์ อย่าง Heel ที่มีดีไซน์เหมือนกระดูกสั้นหลัง และตรง Upper ที่เป็นลักษณะคล้าย Rip-Cage (กระดูกซี่โครง) และนอกเหนือจากนั้น “ฝน” ที่ตกหนักทำให้ Lozano เห็นรองเท้าวิ่งทั่วไปเป็น Misole ขาวนั้นเลอะไวมาก Air Max 95 จึงเป็นรองเท้า Nike คู่แรกที่ใช้ Mid Sole สีดำ และยังเป็นครั้งแรกที่เปิดเผยให้เห็น Air Unit ด้านหน้ารองเท้าอีกด้วย นับตั้งแต่เปิดตัว Air Max 95 ก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม และกลายเป็นตำนานเช่นเดียวกับ Air Max 1
 
 
 
 ในปี 1997 ทั้ง Tinker Hatfield และ Sergio Lozano ก็ได้ย้ายจากทีม Air Max ไปทำโปรเจคเรือธงอื่นๆของ Nike ทำให้หน้าที่การดีไซน์ Air Max 97 ตกมาอยู่ที่ Christian Tresser ดีไซนเนอร์หนุ่มมากความสามารถ ผู้หลงไหลการวาดภาพและเล่นฟุตบอล (Soccer) ตั้งแต่วัยเด็ก แม้ว่าในอเมริกาไม่ใช่ดินแดนของฟุตบอล เพราะเหล่าอเมริกันชนมีกีฬาในดวงใจกันอยู่แล้วอย่าง บาสเกตบอล เบสบอล และอเมริกันฟุตบอล แต่ทว่าสิ่งเหล่านั้นไม่สามารถพรากความรักในกีฬาฟุตบอล ของ Tresser ไปได้ เขายังคงเล่นมันไปเรื่อยๆจนเมื่อเข้าวิทยาลัยเขาก็มีโอกาสได้ไปเล่นในทีม Foothil College Soccer Team แต่ Tresser เล่นฟุตบอลระดับวิทยาลัยได้ไม่นาน ก็ตัดสินใจวิ่งหาอีกความฝันของเขาในการวาดรูป และตัดสินใจเข้าศึกษาในวิทยาลัยศิลปะและการออกแบบในซานฟรานซิสโก หลังจากจบการศึกษาไม่นานเขาก็มีโอกาสได้รับงานเป็นดีไซนเนอร์ให้กับบริษัทออกแบบที่กำลังรับงานให้แบรนด์ย่อย BOKS ให้กับ Reebok
.
จากนั้นไม่นานด้วยความสามารถของ Tresser เขาก็ได้รับเลือกให้ทำงานที่ Reebok เต็มเวลาในที่สุด โดยตลอดระยะเวลาในการทำงานกับ Reebok เป็นเหมือนการเติมเต็มความฝันของ Tresser เนื่องจากได้โอกาสในการพบตำนานแห่งวงการฟุตบอลมากมายหลายรุ่น อย่างเช่น บาติโกล บาติสตูต้า และ เซอร์บ็อบบี้ ชาร์ลตัน เป็นต้น
.
นอกจากการเติมเต็มความฝันของเขาแล้วผลงานของเขาก็จารึกชื่อเขาให้เป็นหนึ่งในสุดยอดดีไซนเนอร์ของวงการรองเท้ากีฬา ด้วยการออกแบบนวัตกรรมใหม่ๆอย่าง Carbon Fiber Footplate, Insta-Pump และ Graphalite รวมถึงสร้างสรรค์รองเท้าวิ่งระดับเทพของ Reebok หลายโมเดลอย่าง Aztrek, DMX Daytona และที่ได้รับความนิยมอย่างมากอย่างโมเดล 1992 Pyro และด้วยผลงานที่โดดเด่นนี้ทำให้เขาได้ไปทำงานกับ Nike ในที่สุด
.

กลับมาที่ปี 1997 ที่เราได้เห็น Air Max 97 เป็นครั้งแรกในราคาที่แพงที่สุดตั้งแต่ Nike ได้เคยเปิดตัวมา บวกกับการที่รุ่นก่อนหน้าอย่าง Air Max 96 ถูกบดบังโดยความนิยมของโมเดลรุ่นพี่อย่าง Air Max 95 ทำให้โมเดล 96 แทบไม่ได้เกิด ทั้งสองอย่างนี้เสริมความกดดันของ Tresser ที่มีอยู่แล้วให้มากยิ่งขึ้น
การก้าวข้ามตำนานของรุ่นพี่อย่าง Air Max 1 และ Air Max 95 ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ Tresser ก็พิสูจน์ให้โลกได้เห็นว่าการสืบทอดตำนานอาจจะไม่ใช่การก้าวข้าม แต่เป็นการก้าวไปข้างหน้า
ด้วยดีไซน์ที่แตกต่างของ Air Max 97 ในชื่อของคู่สีที่ Iconic ที่สุดชื่อหนึ่งของวงการ “Silver Bullet”
 
 
 ชื่อของ Silver Bullet ในตอนแรกเชื่อกันว่ามาจากรถไฟหัวกระสุนของญี่ปุ่น แต่ Tresser ได้ออกมาแถลงหลายรอบว่านั่นเป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น เพราะดีไซน์ของ Airmax 97 ได้แรงบันดาลใจมาจากหลายแหล่ง ด้วยความที่ปี 1997 อยู่ในยุค Y2K ที่การมาถึงของปี 2000 เป็นสัญญาณที่ทำให้วัฒนธรรมต่างๆ ทั้งศิลปะ ดนตรีและแฟชั่น นำนวัตกรรมและดีไซน์แห่งโลกอนาคตมาประกอบใช้ และ Air Max 97 เองก็ไม่ต่างกัน
.
ต่อยอดด้วยดีไซน์ของการเปิดเผย Air Unit ที่ในคราวนี้เปิดเผยทั้ง Mid Sole ซึ่งในแง่การออกแบบนั้นมีความท้าทายเป็นอย่างมาก เสริมด้วยการที่จะเป็น Air Max คู่แรกที่เป็นรูปแบบ Foamless ทั้งหมดและเป็นคู่แรกที่ใช้เทคโนโลยี Hidden Lace System
.
ที่สำคัญที่สุดคือในส่วนอัปเปอร์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก หยดนํ้า และ จักรยานภูเขายุค 90 ที่ใช้วัสดุ Titanium Metal เป็นส่วนสำคัญของ Frame จักรยาน ซึ่ง Tresser หยิบยืมดีไซน์นี้มาเป็นแรงบันดาลใจหลักของ Air Max 97 เพราะว่าชื่อ “Silver Bullet” เท่กว่าชื่อ “Silver Bicycle” เยอะเท่านั้นเอง หลังจากเปิดตัวสุดยิ่งใหญ่ด้วยเคมเปญของนักกีฬาโอลิมปิก Michael Johnson และ Carl Lewis ไม่นาน Air Max 97 ก็กลายเป็นหนึ่งในรองเท้าที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Nike
.
แต่แม้ว่าจะได้รับความนิยมอย่างล้นหลามและถูกยกให้ขึ้นหิ้งไม่แพ้รุ่นพี่อย่าง Air Max 1 และ 95 แต่ทว่า
Air Max 97 ก็ถูกนำออกจากเชลฟ์ขายในปี 1998 เพื่อหลีกทางให้โมเดล Air Max 98 ที่คราวนี้่ได้ Sergio Lozano กลับมาดีไซน์อีกครั้ง แน่นอนว่าแฟนๆของ Air Max 97 Silver Bullet ก็เสียใจกันถ้วนหน้า แต่ก็ไม่นานเพียงปีต่อมาในปี 1999 ที่ Air Max 97 กลับมาวางขายอีกครั้งกับสีทองในแคมเปญ “Sport Reimagined”
.
เมื่อเวลาผ่านไปโมเดล Air Max 97 ก็ผ่านการปรับปรุงเพิ่มคู่สีและวางขายอีกหลากหลายครั้งตลอดมา
โดยเฉพาะในปี 2010 ทาง Nike เฉลิมฉลองตำนานของ Air Max 97 ด้วยการปล่อยรุ่น Limited 1,695 คู่ ในชื่อ Air Max 97 “Lux” ในอิตาลี ด้วยความที่โมเดล 97 มีความนิยมเป็นอย่างมากในอิตาลีถึงกับมีชื่อเรียกว่า “La Silver” และต่อมาในปี 2017 Nike ก็ได้วางจำหน่าย Air Max 97 เวอร์ชั่น Italy ที่มีธงชาติที่ Heel Tab เพื่อเฉลิมฉลองความรักและวัฒนธรรมที่โมเดล 97 และคนอิตาลีได้พัฒนาขึ้นมา
.
แม้ว่าโมเดล Air Max 97 จะถูกนำไปใส่ในคู่สีระดับตำนานมากมายตั้งเเต่วันที่เปิดตัว หรือจะมีงาน Collab ที่เปลี่ยนโลกขนาดไหน แต่ก็ไม่มีคู่ไหนมาแทนที่ความเป็น Icon ของวงการสนีกเกอร์อย่าง Air Max 97 OG “Silver Bullet” ได้อีกแล้ว เเละนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่โมเดลระดับตำนานกลับมาให้เราได้จับจองกันอีกครั้งในรอบ 5 ปี หลังจากที่พบกันครั้งล่าสุดในปี 2017 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปีของ Air Max 97 “Silver Bullet” ที่ยังคงความงดงามเเละเสน่ห์ไว้อย่างไม่มีวันเสื่อมคลาย
 
 
 
By Carnivalbkk
488 view(s)
2 years ago
Behind the Icon | Air Max 97 “Silver Bullet” กระสุนสีเงินเเห่ง Nike กับดีไซน์จากจักรยานภูเขา ที่ไม่มีใครพูดถึง

Behind the Icon | Air Max 97 “Silver Bullet” กระสุนสีเงินเเห่ง Nike กับดีไซน์จากจักรยานภูเขา ที่ไม่มีใครพูดถึง

 
  คำว่า “Iconic” ในวงการ Sneaker อาจจะเป็นคำโปรยที่พบเห็นได้บ่อยครั้ง บ้างก็ว่าต่อๆ กันมา บ้างก็เป็นเพียงแคมเปญการตลาด แต่หากจะมีรองเท้าสักหนึ่งคู่ที่ควรค่ากับการเป็น​ “Icon” อย่างไร้ข้อกังขา
ก็คงจะหนีไม่พ้น Air Max 97 วันนี้ Carnival : Behind the Icon จะพาทุกคนไปสำรวจเรื่องราวการพุ่งทะยานของโมเดลในตำนานนี้กัน
 
 
 
 Air Max 97 คือโมเดลที่สืบทอดเจตนารมย์ของไลน์รองเท้าที่ยิ่งใหญ่อย่าง “Air Max” ที่ริเริ่มโดย Tinker Hatfield ดีไซนเนอร์อัจฉริยะผู้พลิกประวัติศาสตร์วงการรองเท้าตั้งแต่การเปิดตัวของ Air Max 1 ในปี 1987 รองเท้าที่เผยโฉมให้ชาวโลกได้เห็นเทคโนโลยี Air Unit เป็นครั้งแรก โดย Hatfield ได้แรงบันดาลใจมาจาก การไปเที่ยวปารีสแล้วได้เห็น Pompidou Center อาคารที่นำโครงสร้างที่ถูกซ่อนไว้ออกมาใชว์ให้เห็นนอกตัวอาคารทั้งหมด ในตอนนั้นเองไม่มีใครเชื่อว่าการโชว์วัสดุภายในรองเท้านี้จะสามารถวางขายได้สำเร็จ แต่ Hatfield ยืนยันอย่างหนักแน่นกับเพื่อนร่วมงาน ถึงขั้นถกเถียงกับแผนกการตลาดของ Nike อย่างยาวนาน จนท้ายสุดแล้วด้วยความเชื่อมั่นอันแรงกล้าของเขาก็ทำให้เทคโนโลยี Air พัฒนาต่ออย่างก้าวกระโดด และเปิดเผยมากขึ้นกว่าเดิมทุกปี
.
Air Max 1กลายเป็นโมเดลคลาสสิคตลอดกาลและทำให้วันที่ 26 มีนาคม กลายเป็นวัน “Air Max Day” ต่อมาในปี 1995 เราก็ได้ยลโฉม Air Max 95 ดีไซน์โดย Sergio Lozano ผู้พลิกโฉมให้รองเท้าวิ่งกลับมานิยมอีกครั้ง ในขณะที่ยุค 90 เต็มไปด้วยกระแสรองเท้าบาสเกตบอล โดย Lozano ได้ยกระดับในด้านดีไซน์และฟังค์ชั่น ด้วยธรรมชาติของฝนและกายวิภาคศาสตร์
.
แรงบันดาลใจของ Air Max 95 มาจากฝนที่ตกหนักเป็นปกติที่สำนักงานใหญ่ Nike ที่เมือง Beaverton ในรัฐ Oregon ทำให้เขาจินตนาการว่าหากฝนที่ตกเป็นกรดก็คงทำให้เกิดการกัดกร่อนที่เผยดีไซน์ที่น่าสนใจไม่น้อย ผลปรากฏเป็นดีไซน์ที่เผยให้เห็น Layer คล้ายกับชั้นหินที่ถูกผ่า ต่อมาถูกพัฒนาให้มี Element ของกายวิภาคมนุษย์ อย่าง Heel ที่มีดีไซน์เหมือนกระดูกสั้นหลัง และตรง Upper ที่เป็นลักษณะคล้าย Rip-Cage (กระดูกซี่โครง) และนอกเหนือจากนั้น “ฝน” ที่ตกหนักทำให้ Lozano เห็นรองเท้าวิ่งทั่วไปเป็น Misole ขาวนั้นเลอะไวมาก Air Max 95 จึงเป็นรองเท้า Nike คู่แรกที่ใช้ Mid Sole สีดำ และยังเป็นครั้งแรกที่เปิดเผยให้เห็น Air Unit ด้านหน้ารองเท้าอีกด้วย นับตั้งแต่เปิดตัว Air Max 95 ก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม และกลายเป็นตำนานเช่นเดียวกับ Air Max 1
 
 
 
 ในปี 1997 ทั้ง Tinker Hatfield และ Sergio Lozano ก็ได้ย้ายจากทีม Air Max ไปทำโปรเจคเรือธงอื่นๆของ Nike ทำให้หน้าที่การดีไซน์ Air Max 97 ตกมาอยู่ที่ Christian Tresser ดีไซนเนอร์หนุ่มมากความสามารถ ผู้หลงไหลการวาดภาพและเล่นฟุตบอล (Soccer) ตั้งแต่วัยเด็ก แม้ว่าในอเมริกาไม่ใช่ดินแดนของฟุตบอล เพราะเหล่าอเมริกันชนมีกีฬาในดวงใจกันอยู่แล้วอย่าง บาสเกตบอล เบสบอล และอเมริกันฟุตบอล แต่ทว่าสิ่งเหล่านั้นไม่สามารถพรากความรักในกีฬาฟุตบอล ของ Tresser ไปได้ เขายังคงเล่นมันไปเรื่อยๆจนเมื่อเข้าวิทยาลัยเขาก็มีโอกาสได้ไปเล่นในทีม Foothil College Soccer Team แต่ Tresser เล่นฟุตบอลระดับวิทยาลัยได้ไม่นาน ก็ตัดสินใจวิ่งหาอีกความฝันของเขาในการวาดรูป และตัดสินใจเข้าศึกษาในวิทยาลัยศิลปะและการออกแบบในซานฟรานซิสโก หลังจากจบการศึกษาไม่นานเขาก็มีโอกาสได้รับงานเป็นดีไซนเนอร์ให้กับบริษัทออกแบบที่กำลังรับงานให้แบรนด์ย่อย BOKS ให้กับ Reebok
.
จากนั้นไม่นานด้วยความสามารถของ Tresser เขาก็ได้รับเลือกให้ทำงานที่ Reebok เต็มเวลาในที่สุด โดยตลอดระยะเวลาในการทำงานกับ Reebok เป็นเหมือนการเติมเต็มความฝันของ Tresser เนื่องจากได้โอกาสในการพบตำนานแห่งวงการฟุตบอลมากมายหลายรุ่น อย่างเช่น บาติโกล บาติสตูต้า และ เซอร์บ็อบบี้ ชาร์ลตัน เป็นต้น
.
นอกจากการเติมเต็มความฝันของเขาแล้วผลงานของเขาก็จารึกชื่อเขาให้เป็นหนึ่งในสุดยอดดีไซนเนอร์ของวงการรองเท้ากีฬา ด้วยการออกแบบนวัตกรรมใหม่ๆอย่าง Carbon Fiber Footplate, Insta-Pump และ Graphalite รวมถึงสร้างสรรค์รองเท้าวิ่งระดับเทพของ Reebok หลายโมเดลอย่าง Aztrek, DMX Daytona และที่ได้รับความนิยมอย่างมากอย่างโมเดล 1992 Pyro และด้วยผลงานที่โดดเด่นนี้ทำให้เขาได้ไปทำงานกับ Nike ในที่สุด
.

กลับมาที่ปี 1997 ที่เราได้เห็น Air Max 97 เป็นครั้งแรกในราคาที่แพงที่สุดตั้งแต่ Nike ได้เคยเปิดตัวมา บวกกับการที่รุ่นก่อนหน้าอย่าง Air Max 96 ถูกบดบังโดยความนิยมของโมเดลรุ่นพี่อย่าง Air Max 95 ทำให้โมเดล 96 แทบไม่ได้เกิด ทั้งสองอย่างนี้เสริมความกดดันของ Tresser ที่มีอยู่แล้วให้มากยิ่งขึ้น
การก้าวข้ามตำนานของรุ่นพี่อย่าง Air Max 1 และ Air Max 95 ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ Tresser ก็พิสูจน์ให้โลกได้เห็นว่าการสืบทอดตำนานอาจจะไม่ใช่การก้าวข้าม แต่เป็นการก้าวไปข้างหน้า
ด้วยดีไซน์ที่แตกต่างของ Air Max 97 ในชื่อของคู่สีที่ Iconic ที่สุดชื่อหนึ่งของวงการ “Silver Bullet”
 
 
 ชื่อของ Silver Bullet ในตอนแรกเชื่อกันว่ามาจากรถไฟหัวกระสุนของญี่ปุ่น แต่ Tresser ได้ออกมาแถลงหลายรอบว่านั่นเป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น เพราะดีไซน์ของ Airmax 97 ได้แรงบันดาลใจมาจากหลายแหล่ง ด้วยความที่ปี 1997 อยู่ในยุค Y2K ที่การมาถึงของปี 2000 เป็นสัญญาณที่ทำให้วัฒนธรรมต่างๆ ทั้งศิลปะ ดนตรีและแฟชั่น นำนวัตกรรมและดีไซน์แห่งโลกอนาคตมาประกอบใช้ และ Air Max 97 เองก็ไม่ต่างกัน
.
ต่อยอดด้วยดีไซน์ของการเปิดเผย Air Unit ที่ในคราวนี้เปิดเผยทั้ง Mid Sole ซึ่งในแง่การออกแบบนั้นมีความท้าทายเป็นอย่างมาก เสริมด้วยการที่จะเป็น Air Max คู่แรกที่เป็นรูปแบบ Foamless ทั้งหมดและเป็นคู่แรกที่ใช้เทคโนโลยี Hidden Lace System
.
ที่สำคัญที่สุดคือในส่วนอัปเปอร์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก หยดนํ้า และ จักรยานภูเขายุค 90 ที่ใช้วัสดุ Titanium Metal เป็นส่วนสำคัญของ Frame จักรยาน ซึ่ง Tresser หยิบยืมดีไซน์นี้มาเป็นแรงบันดาลใจหลักของ Air Max 97 เพราะว่าชื่อ “Silver Bullet” เท่กว่าชื่อ “Silver Bicycle” เยอะเท่านั้นเอง หลังจากเปิดตัวสุดยิ่งใหญ่ด้วยเคมเปญของนักกีฬาโอลิมปิก Michael Johnson และ Carl Lewis ไม่นาน Air Max 97 ก็กลายเป็นหนึ่งในรองเท้าที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Nike
.
แต่แม้ว่าจะได้รับความนิยมอย่างล้นหลามและถูกยกให้ขึ้นหิ้งไม่แพ้รุ่นพี่อย่าง Air Max 1 และ 95 แต่ทว่า
Air Max 97 ก็ถูกนำออกจากเชลฟ์ขายในปี 1998 เพื่อหลีกทางให้โมเดล Air Max 98 ที่คราวนี้่ได้ Sergio Lozano กลับมาดีไซน์อีกครั้ง แน่นอนว่าแฟนๆของ Air Max 97 Silver Bullet ก็เสียใจกันถ้วนหน้า แต่ก็ไม่นานเพียงปีต่อมาในปี 1999 ที่ Air Max 97 กลับมาวางขายอีกครั้งกับสีทองในแคมเปญ “Sport Reimagined”
.
เมื่อเวลาผ่านไปโมเดล Air Max 97 ก็ผ่านการปรับปรุงเพิ่มคู่สีและวางขายอีกหลากหลายครั้งตลอดมา
โดยเฉพาะในปี 2010 ทาง Nike เฉลิมฉลองตำนานของ Air Max 97 ด้วยการปล่อยรุ่น Limited 1,695 คู่ ในชื่อ Air Max 97 “Lux” ในอิตาลี ด้วยความที่โมเดล 97 มีความนิยมเป็นอย่างมากในอิตาลีถึงกับมีชื่อเรียกว่า “La Silver” และต่อมาในปี 2017 Nike ก็ได้วางจำหน่าย Air Max 97 เวอร์ชั่น Italy ที่มีธงชาติที่ Heel Tab เพื่อเฉลิมฉลองความรักและวัฒนธรรมที่โมเดล 97 และคนอิตาลีได้พัฒนาขึ้นมา
.
แม้ว่าโมเดล Air Max 97 จะถูกนำไปใส่ในคู่สีระดับตำนานมากมายตั้งเเต่วันที่เปิดตัว หรือจะมีงาน Collab ที่เปลี่ยนโลกขนาดไหน แต่ก็ไม่มีคู่ไหนมาแทนที่ความเป็น Icon ของวงการสนีกเกอร์อย่าง Air Max 97 OG “Silver Bullet” ได้อีกแล้ว เเละนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่โมเดลระดับตำนานกลับมาให้เราได้จับจองกันอีกครั้งในรอบ 5 ปี หลังจากที่พบกันครั้งล่าสุดในปี 2017 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปีของ Air Max 97 “Silver Bullet” ที่ยังคงความงดงามเเละเสน่ห์ไว้อย่างไม่มีวันเสื่อมคลาย
 
 
 
By Carnivalbkk
488 view(s)
2 years ago